3 ก.ย. 2024
3 นาที
3 ก.ย. 2024
3 นาที
3 ก.ย. 2024
3 นาที
สิงคโปร์ (Singapore) หนึ่งในประเทศใกล้ไทยที่จัดเต็มแลนด์มาร์กหลากหลายสวยงาม พร้อมธรรมชาติสุดร่มรื่น แทรกตัวอยู่ทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมสวยๆ แสง สี เสียง ต่างๆ ทำให้เป็นอีกหนึ่งในประเทศที่ไม่ควรพลาดในการเดินทาง ทั้งสามารถเดินทางมาเที่ยวเองได้ง่ายๆ ใช้เวลาบินตรงเพียง 2 ชั่วโมง 25 นาที และยังไม่ต้องใช้วีซ่า กลายเป็นอีกหนึ่งในการ "เที่ยวต่างประเทศ" ที่มีความสะดวกสบายมากๆ สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ทุกฤดูกาล
ดังนั้น "สิงคโปร์" จึงเป็นประเทศในฝันสำหรับสายท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ครั้งนี้กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ และ เพจ Lazy Coup จึงอยากชวนทุกคนจูงมือคนรักมาเที่ยวชมประเทศสิงคโปร์ และทริปนี้ก็ใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพียง 3 วัน 2 คืนเท่านั้น ถ้าพร้อมแล้วเราออกไปสนุกด้วยกัน!
สำหรับสิ่งที่น่าประทับใจมากของ "Singapore" คือ การที่เราแทบไม่จำเป็นต้องพกเงินสดติดตัวเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ รถไฟฟ้า รถบัส ไปจนถึงรถแท็กซี่ ก็สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างผ่าน "บัตรเครดิต" โดยไม่ต้องใช้เงินสดได้แทบจะ 99% ของประเทศสิงคโปร์
แน่นอนว่าทริปนี้เราก็ได้พกตัวช่วยในทุกการใช้จ่ายอย่าง "บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม" และ "เอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล" มาด้วย ซึ่งเราใช้ทั้งรูด "จองตั๋วเครื่องบิน" ที่พัก กิน ช้อปตลอดการเดินทาง เพียงลงทะเบียนก่อนทำรายการผ่านแอป UCHOOSE และมียอดใช้จ่ายตามเงื่อนไขก็รับเครดิตเงินคืนฟินๆไปเลย เพิ่มเติมคลิก นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เปลี่ยนยอดรูดเต็มเป็นผ่อนชำระ "0% นาน 3 เดือน*" ได้เลย (ไม่มีดอกเบี้ยเกิดขึ้นสักบาท) เพิ่มเติมคลิก
พิกัดแรกที่แนะนำให้ทุกคนปักหมุดมา คือ "Merlion" โดยในละแวกนี้จะเต็มไปด้วยทะเลสาบอันสวยงาม ซึ่งสามารถปรับแพลนในการมาเที่ยวช่วงเช้ามืด หรือช่วงเย็น ก็จะสามารถเห็นไฟเมืองได้อย่างสวยงามทั้งสองช่วงเวลา สำหรับ "เมอร์ไลออน พาร์ค" จะมีลำตัวเป็นปลา และมีหัวเป็นสิงโตพ่นน้ำอันมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งใครที่อยากถ่ายรูปกับ "สิงโตพ่นน้ำ" แบบไม่ติดใคร แนะนำให้ปักหมุดมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ โดยช่วงเวลาที่สิงโตจะพ่นน้ำ จะอยู่ช่วงเวลาประมาณ 07.00 น.
มุมยอดฮิต คือ ถ่ายรูปเล่นด้วยไอเดีย "Force Perspection" สามารถสร้างสรรค์ไอเดียในการถ่ายรูปคู่กับสิงโตพ่นน้ำได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเอาปากไปรองน้ำ หรือ สระผม เรียกได้ว่า ใครมีไอเดียแบบไหนต้องจัดเต็มความสนุกในมุมนี้ การเดินทางมายัง "Merlion" แนะนำให้ลงรถไฟฟ้าสถานี "Raffles Place" ทางออก H
เมื่อตื่นเช้าถ่ายภาพที่ "เมอร์ไลออน พาร์ค" เรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งพิกัดที่แนะนำให้เดินทางมาต่อกันทันที คือ "Fort Canning Tree Tunnel" หรือที่เราชอบเรียกกันว่า "อุโมงค์ต้นไม้" ทางเดินบันไดวนพร้อมช่องแสงวงกลมกับต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งในช่วงต้นปี 2567 ได้มีการปิดพื้นที่เพื่อทำการปรับปรุงสถานที่ใหม่ ทำให้ในปัจจุบันนี้ อุโมงค์สวย สะอาดตา และสามารถนั่งถ่ายรูปบริเวณบันไดวนได้ง่ายมากขึ้น
"Fort Canning Tree Tunnel" เป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมมาก โดยมุมนี้สามารถถ่ายได้ทีละคน จะมีการเข้าแถวต่อคิวถ่าย แนะนำให้มาช่วงเช้า เนื่องจากหากมาหลัง 10 โมงเช้า อาจจะต้องรอคิวประมาณ 2 ชั่วโมง การเดินทางมามุมนี้ แนะนำลงสถานี "Dhoby Ghaut" ทางออก B
"คลาวด์ฟอเรสต์" เป็นอาคารกระจกใสท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของ "Garden By The Bay" นั่นเอง โดยจุดนี้จะมีค่าใช้จ่ายในการเข้าสถานที่ 32 Singapore Dollar ในราคาดังกล่าวจะสามารถเข้าชมได้ทั้ง "Cloud Forest" และ "Flower Dome"
สำหรับ "Cloud Forest" เป็นอาคารเรือนกระจกที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ ป่าฝน สีเขียวสดชื่น โดยภายในอาคารจะประกอบไปด้วยทางเดินลอยฟ้า ซึ่งเดินสะดวก ผู้ใช้รถเข็นก็สามารถเข้ามาเที่ยวชมธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้สถาปัตยกรรมอาคารดังกล่าวเน้นการสร้างด้วยโครงสร้างทางวิศวกรรม ทำให้ไม่มีเสาค้ำยัน แต่เน้นการรองรับน้ำหนักต่างๆ ด้วยโครงสร้างโค้งไปมาแทน ทำให้ไม่ว่าเราจะเดินรอบอาคารมุมไหน สูงต่ำอย่างไร ก็สวยทุกมุมมองจริงๆ
มุมยอดนิยมของเหล่าวัยรุ่นสิงคโปร์นั้น คือ "น้ำตกสูง 6 ชั้น" ซึ่งจะเปิด 09.00 น. แนะนำว่าต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าจากเว็บไซต์ด้วย "บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม" หรือ "เอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล" จะสามารถเดินเข้าชมได้เลยโดยไม่ต้องต่อคิว ทำให้เป็นช่วงที่ถ่ายรูปง่ายมาก การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี "การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์" และเดินต่อมาได้เลย
อีกหนึ่งพิกัดที่ติดกันกับ "Cloud Forest" แต่จะมีลักษณะการจัดสวนแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลย กับ "Flower Dome" ซึ่งภายในอาคารเรือนกระจกหลังนี้ จะเอาใจคนรักดอกไม้เป็นพิเศษ มีงานนิทรรศการจัดแสดงดอกไม้ตลอดปี และที่สำคัญ คือ ในบางช่วงเวลาก็ยังมีนิทรรศการสุดพิเศษที่นำเอาดอกไม้ทั่วโลกมาจัดแสดงหมุนเวียนกันไป เช่น ดอกทิวลิปหลากหลายสีสัน จากเนเธอร์แลนด์อย่างในภาพนั่นเอง การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี "Garden By The Bay" และเดินต่อมาได้เลย
สำหรับ "การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์" เป็นพื้นที่สวนสวยที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่มากๆ นอกจากจะประกอบไปด้วย "Cloud Forest" และ "Flower Dome" ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมแล้ว ยังมีพื้นที่สวนสีเขียว ทะเลสาบ และจุดชมวิวอีกหลายจุดที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่สวนแห่งนี้เอาไว้ โดยเข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย
ซึ่งมุมแรกที่เป็นมุมยอดฮิตในการถ่ายรูป คือ "Water Lilly Pond" สระน้ำที่เต็มไปด้วยบัวสวยๆ ก้อนหินขนาดใหญ่ที่สามารถไปนั่งบนหินเพื่อถ่ายรูปคู่กับ "Supertree Grove" และอาคาร "Marina Bay Sand" ได้อย่างอลังการ การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี "Garden By The Bay"
สำหรับใครที่ต้องการถ่ายรูปริมทะเลสาบ โดยให้เห็นแสงไฟของสถาปัตยกรรมอันสวยงามแห่งประเทศสิงคโปร์ได้ชัดเจน แนะนำ "Dragonfly Lake" อีกหนึ่งพิกัดที่อยู่ในพื้นที่ของ "Garden By The Bay" ซึ่งจุดนี้จะสามารถถ่ายรูปริมน้ำกับ อาคาร "มารีนาเบย์แซนส์" ได้อย่างสวยงาม
ทะเลสาบเล็กๆ แห่งนี้ก็ยังสามารถเดินรอบ และมองเห็น "Supertree Grove" อยู่คู่กับชิงช้าสวรรค์ "Ferris Wheel" อีกด้วย เป็นสวนขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาในการเดินถ่ายรูปได้ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี "การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์" เช่นเคย
อีกหนึ่งกิจกรรมที่สายเที่ยวไม่ควรพลาด คือ ในช่วงกลางคืนของทุกวัน ที่จะมีการแสดงแสง สี เสียงที่อลังการแบบจัดเต็มมากๆ โดยมุมที่เราสามารถมองเห็น "ต้นไม้ยักษ์ Supertree Grove" ได้ชัด จะเป็นจุดชมวิวด้านบน เรียกได้ว่า จูงมือแฟนมาดูแสง สี เสียงในยามค่ำคืนได้อย่างโรแมนติก การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี "Garden By The Bay"
สำหรับพิกัดในการถ่ายภาพ "Landscape" ที่สวยสุดของสิงคโปร์ คือ "Marina East Park" พื้นที่สวนสีเขียวตั้งอยู่ริมน้ำ ด้วยระยะทางของสวนที่เป็นแนวยาวมาก สามารถเดินเลียดน้ำหามุมสวย จัดวางองค์ประกอบในการถ่ายภาพได้หลายมุม
"Marina East Park" จะสามารถมองเห็นอาคารสำคัญของประเทศสิงคโปร์ไว้ได้ในรูปเดียว ไม่ว่าจะเป็น Cloud Forest, Flower Dome, Supertree, Marina Bay Sand, Ferris Wheel, Art Science Museum การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี "Garden By The Bay" หรือ "Dhoby Ghaut" ก็ได้ และเดินต่อใช้เวลาพอสมควร โดยในละแวกพื้นที่สวนจะไม่มีร้านค้า จึงแนะนำให้เตรียมเครื่องดื่มไว้ติดตัว
สถานีตำรวจที่น่ารักที่สุดในโลก ขอยกให้ "Old Hill Street Police Station" อาคารทรงคลาสสิค ที่จัดเต็มไปด้วยหน้าต่าง บานประตูสีรุ้งที่สวยงาม เรียกได้ว่า กลายเป็นสถานีตำรวจที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างประทับใจในความสดใส การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี "Clarke Quay" ทางออก E
แน่นอนเราได้ไปเช็คอินหลายจุดมาแล้ว ระหว่างทริปไม่ว่าจะเที่ยว กิน ช้อปปิ้ง เราก็ใช้จ่ายผ่าน "บัตรเครดิตเฟิร์สช้อยส์" บัตรเดียวตอบโจทย์ครบทุกไลฟ์สไตล์ และถึงแม้ว่าใครที่ไม่ได้ไป "เที่ยวเมืองนอก" บัตรนี้ใช้ในประเทศก็ยังตอบโจทย์เรื่อง "Cashback ยื่นหนึ่ง" เหมือนเดิม มีโปรโมชั่นส่วนลด "เครดิตเงินคืน" แบบครอบคลุมแทบทุกหมวดในชีวิตให้เราได้เอ็นจอยกันตลอดทั้งปี เพิ่มเติมคลิก
1. "เที่ยวทริปไหนก็คุ้ม" จองที่พัก โรงแรม ผ่านแอปชั้นนำ Agoda, Traveloka, Trip.com, Booking.com หรือ จองตั๋วเครื่องบิน อาทิ Jeju Air, Jin Air, China Airlines, Asiana, United Airlines, Vietnam Airlines, Gulf Air ครบตามเงื่อนไข ก็รับเครดิตเงินคืน* เพิ่มเติมคลิก
2. "บินเมื่อไหร่ก็ได้คืน" เมื่อรูดซื้อตั๋วเครื่องบินกับ 5 สายการบินที่ร่วมรายการ ได้แก่ แอร์เอเชีย, บางกอกแอร์เวย์ส, นกแอร์, ไทยไลอ้อนแอร์, ไทยเวียตเจ็ท ครบตามเงื่อนไข ก็รับเครดิตเงินคืน* เพิ่มเติมคลิก
3. "0% สั่งได้ทุกอย่าง" เวลาที่เรารูดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรขั้นต่ำ 500 บาทขึ้นไป / เซลล์สลิป และรวมยอดแบ่งชำระเริ่มต้น 3,000 บาทขึ้นไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน ได้เลย (ไม่มีดอกเบี้ยเกิดขึ้นสักบาท) เพิ่มเติมคลิก
น่ารักสดใสกันต่อเนื่องกับอีกหนึ่งพิกัดที่ขโมยหัวใจสาวๆ ไม่แพ้กันเลย "Peranakan House" หมู่บ้านโบราณสีพาสเทลสดใส อาคารออกแบบสไตล์ชิโนโปรตุกีสร่วมสมัย ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน "Joo Chiat Road" และ "Koon Seng Road" มุมนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปน่ารักๆ ของสิงคโปร์ที่ห้ามพลาด สถานีรถไฟฟ้า "Dakora" และนั่งรถบัสสาย 33 หรือ 16 ต่อ
หนึ่งในบันไดวนพาสเทลพิกัดสุดฮิปแห่งสิงคโปร์ที่ดังมาก ฮิตจนติดใน "Pinterest" กับหมู่บ้าน "บูกิส วิลเลจ" ที่ปัจจุบันมีคาเฟ่ ร้านอาหารตั้งอยู่ในพื้นที่นี้หลายร้าน ถ่ายรูปเน้นความน่ารักสดใสได้อย่างดี หากใครต้องการมาเที่ยวยังหมู่บ้านนี้ ก็สามารถลงที่สถานีรถไฟฟ้า "Bugis Station" ทางออก A ได้เลย
"Potato Head" อาคารสีขาววินเทจพร้อมเส้นสาย และตัวหนังสือจีนสีแดงในปี 1939 ที่ตั้งอยู่ในโซน "China Town" ทำให้จุดนี้เป็นมุมถ่ายรูป ที่สาวๆ ชอบชุดจีนเก๋ๆ มาถ่ายรูปที่มุมนี้ นอกจากนี้ ยังมีตรอกถนนติดกับ Potato Head จะเป็นมุมถ่ายรูป "Urban" เห็นอาคารตึกสูงล้ำสมัยของยุคปัจจุบันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางอาคารตึกแถวโบราณสองฝั่งที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน สถานี "ไชน่าทาวน์" ทางออก A
"Buddha Tooth Relic Temple" หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า "วัดพระเขี้ยวแก้ว" วัดดังกล่าวถือเป็นวัดดังของสิงคโปร์ถือเป็นแลนด์มาร์กยึดเหนี่ยวของผู้คนในย่านไชน่าทาวน์ เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทันตธาตุ หรือ ฟัน ของพระพุทธเจ้า ใครที่ต้องการมาไหว้ขอความเป็นสิริมงคลในชีวิต ทางวัดจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 07.00 - 19.00 น. ของทุกวัน
ในส่วนของวัดจะเป็นอาคารสีแดงที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์จีนที่มีหลายชั้น โดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองอันล้ำสมัยของสิงคโปร์ สามารถเดินทางมาเที่ยวต่อ Potato Head ได้ง่ายมากๆ ด้วยการเดินทางนั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี "China Town" ทางออก A
"น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง" หรือ Fountain of Wealth ที่อยู่ท่ามกลางตึกสูงหมายเลข 1-2-3-4 "อาคารซันเทคซิตี้" (Suntec City) ที่มีความเชื่อกันว่า หากใครเดินขอพรรอบน้ำพุครบ 3 รอบ จะนำพาโชคลาภ มั่งคั่ง ร่ำรวย และโชคดีมาให้ เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ห้ามพลาดมาเช็กอินเลย การเดินทางรถไฟฟ้าสถานี "Promenade"
สำหรับการเดินทางหลักของเราในทริปนี้ จะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลักเลย ซึ่งเราขอยกให้สถานีรถไฟที่น่ารักมากที่สุดของสิงคโปร์ คือ "Red Hill Station" เป็นสถานีรถไฟฟ้าที่เต็มไปด้วยสีชมพูหวานเจี๊ยบทั้งอาคาร
การเดินทางท่องเที่ยวใน "สิงคโปร์" สามารถใช้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลักได้ทุกที่ โดยสิงคโปร์ในยุคปัจจุบันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องซื้อบัตรรถไฟฟ้าเป็นเที่ยวต่อเที่ยวอีกต่อไป เนื่องจากสามารถใช้บัตรเครดิตที่มีเครื่องหมาย Visa หรือ Mastercard ในการแตะจ่ายเงินเข้าออกสถานีต่างๆ แทนบัตรโดยสารได้เลย ทำให้การใช้ "บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม" เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในความสะดวกสบายของการเดินทาง
"พิพิธภัณฑ์ไอศกรีมสิงคโปร์" ตั้งอยู่ในย่าน Dempsey โดนใจคนรักไอศกรีมเป็นพิเศษ เพราะที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ไอศกรีมที่ยกมาจากอเมริกา มาเปิดสาขาที่สิงคโปร์ เป็นสาขาที่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุด โดยบรรยากาศของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะมีการจัดสถานที่แบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ตามรูปแบบของไอศกรีมที่มีหน้าตาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแท่ง หลอด ถ้วย ฯลฯ
ซึ่งนอกจากมุมถ่ายรูปสวยๆ ก็ยังมีไอศกรีมให้รับประทานไม่อั้นตลอดเวลาที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ การเดินทางมา "Museum of Icecream" สามารถนั่งรถไฟฟ้าลงสถานี "Red Hill Station" และเรียกแท็กซี่ต่อจะสะดวกที่สุด
หากใครที่ชอบภาพแนว "Urban" ถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมที่มีรูปร่างสวยแปลกตา ห้ามพลาดกับ "The Hive (Learning Hub South - LHS)" ที่นี่เป็นอาคารคล้ายรังผึ้งที่มีความสวยงามสลับซับซ้อน ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตมหาวิทยาลัย และแต่ละห้องเปรียบเสมือนเป็นที่ให้นักศึกษาสามารถมานั่งอ่านหนังสือ พรีเซ้นท์งานต่างๆ ได้ สามารถเดินทางมาเที่ยวชมความสวยงามของอาคารได้ โดยไม่ส่งเสียงดัง
ส่วนด้านนอกของอาคารเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และสวนสีเขียวสุดร่มรื่น ที่ทำให้ทุกมุมของอาคารสวยงามมาก การเดินทางมายัง The Hive (Learning Hub South - LHS) สามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี "Pioneer" ได้
สนามบินที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ว่าเป็นสนามบินที่สวย ทันสมัย และร่มรื่นที่สุดในโลก กับ "Jewel Changi Airport" โดยจุดที่แนะนำให้ทุกคนแวะมาถ่ายรูปกัน คือ "Rain Vortex" น้ำตกแนวดิ่งที่มีความสูงมากกว่า 40 เมตร เรียกได้ว่าเป็นการปิดทริปสิงคโปร์อย่างประทับใจ
นอกจากจะสนุกได้แบบเต็มที่ทั้งกิน เที่ยว ช้อปแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนยอดรูดเต็มเป็นการผ่อนชำระ "0% นาน 3 เดือน*" แบบ Smart ทุกการใช้ง่ายๆ เพียงเลือกยอดที่ต้องการผ่อนผ่านแอป UCHOOSE ได้ด้วยตนเอง เพิ่มเติมคลิก และยังได้ "Cash Back" เงินคืนทุกเดือนแบบคุ้มๆ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์เลย ใครสายเที่ยวก็ต้องพกบัตรนี้เอาไว้ไปเที่ยวด้วยแล้ว
สำหรับทริปนี้ เป็น Travel Guide ของการมาเที่ยวที่ "สิงคโปร์" เป็นอีกหนึ่ง Destination ของคนไทยหลายๆ คนที่อยากมา "เที่ยวต่างประเทศ" ได้ในเวลาสั้นๆ ที่เราใช้จ่ายทั้งหมดจริงผ่าน "บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม" และ "บัตรเครดิต XU" เพราะสามารถเปลี่ยนยอดรูดเต็มเป็นการผ่อนชำระ "0% นาน 3 เดือน*" แบบ Smart ทุกการใช้ง่ายๆ เพียงเลือกยอดที่ต้องการผ่อนผ่านแอป UCHOOSE ได้ด้วยตัวเอง และยังได้ "Cash Back" เงินคืนทุกเดือนแบบคุ้มๆ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์เลย ใครสายเที่ยวก็ต้องพกบัตรนี้เอาไว้ไปเที่ยวด้วย
ส่วนใครที่ยังไม่มี "บัตรเครดิต" อ่านรีวิวในทริปนี้แล้วรู้สึกว่าบัตรนี้แหละที่ควรมีกระเป๋า แค่มีรายได้ประจำตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป ก็ "สมัครบัตรเครดิตออนไลน์" กันได้แล้วนะ ยิ่งตอนนี้มีโปรโมชั่นแรกเข้าสำหรับสมาชิกใหม่ด้วย และขอแนะนำช่องทางใหม่สมัครผ่านแอป UCHOOSE สมัครง่าย อนุมัติไว พร้อมติดตามสถานะผ่านแอปได้เลย เอาเป็นว่าถ้าอยากได้โปรโมชั่นดีๆ ก็อย่าลืมใช้จ่ายผ่าน "บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า แพลทินัม" และ "เอ็กซ์ยู บัตรเครดิต ดิจิทัล" การันตีว่าคุ้มอย่าบอกใครเลยแหละ
ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
3 ก.ย. 2024
124215
20 พ.ค. 2024
45266
20 พ.ค. 2024
24153