30 มิ.ย. 2024
1 นาที
30 มิ.ย. 2024
1 นาที
30 มิ.ย. 2024
1 นาที
สำหรับใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือน อาจจะเคยมีความคิดที่ว่า ทำไมฉันถึงไม่มีเงินเก็บเลยนะ? สิ้นเดือนทีไร เหมือนสิ้นใจทุกที ใช้เงินเดือน เดือนชนเดือนตลอดเลย อยากจะลงทุนเพื่อให้ได้เงินเพิ่ม แต่ก็เงินเดือนน้อยไม่พอลงทุน คำถามต่างๆ เหล่านี้ จึงได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “Latte Factor”
จุดเริ่มต้นของ “Latte Factor” นั้นเริ่มมาจากหนังสือ The Automatic Millionaire หรือ “เศรษฐีเงินล้านอัตโนมัติ” ของคุณ David Bach ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการบรรยายบนเวทีของคุณบาค มีผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า “เงินเดือนเพียงเท่านี้ แค่ออมยังยาก จะเหลือเงินที่ไหนไปลงทุน” คุณบาคจึงให้เธอเล่ากิจวัตรประจำวัน ว่าตั้งแต่เช้าเธอได้ใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง จากการสังเกตชีวิตประจำวันของเธอ ต้องซื้อกาแฟลาเต้ร้านดังเป็นประจำในทุกๆเช้า โดยกาแฟ 100 บาท และมัฟฟินอีก 50 บาท แค่เพียงมื้อเช้า เธอก็ได้ใช้เงินไปแล้ว 150 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยนะ จึงทำให้เกิดแนวคิด Latte Factor ขึ้นมา
บาคแนะนำว่าสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่เราจ่ายไปในแต่ละวันโดยไม่รู้ตัว อาจหมายถึงสิ่งฟุ่มเฟือยเล็กน้อยอื่นๆ ที่เรามักใช้จ่ายเงินออกไปเป็นกิจวัตรประจำวัน แบบไม่ได้คิด ไม่ได้สนใจ (เช่น การดื่มกาแฟทุกวัน, การเลี้ยงฉลองสังสรรค์ทุกสัปดาห์, การกินอาหารหรูๆ ทุกอาทิตย์ และค่าช้อปปิ้ง เป็นต้น) เราอาจจะมองดูรู้สึกว่ามันไม่เยอะเท่าไร แต่ถ้าเรามาลองคำนวณดูในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เช่น เป็นเดือน เป็นปี ค่าใช้จ่ายรวมกันทั้งหมด อาจจะเป็นจำนวนมากมหาศาลอย่างที่คุณคาดไม่ถึงมาก่อนก็ได้
บาคแนะนำว่า ในความเป็นจริง การได้ดื่มกาแฟในตอนเช้าก่อนเริ่มทำงาน อาจจะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ายามเช้า หรือการได้ช้อปปิ้ง สังสรรค์กับเพื่อนฝูง อาจเป็นการคลายเครียดจากการทำงานหนักมาตลอดสัปดาห์ ขอเพียงคุณลดค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แค่ลดลง ไม่จำเป็นต้องเลิกทั้งหมดก็ได้ เขาพูดต่อว่า
“ลองลดค่ากาแฟวันละ 50 บาท เพื่อแบ่งมาเก็บในบัญชี ลองคิดว่าเก็บ 50 บาท เป็นเวลา 1 เดือน หรือ 30 วัน จะเท่ากับ (50×30) = 1,500 บาท 1 ปีก็จะเป็น (1,500×12) = 18,000 บาท หากเก็บไปเรื่อยๆ ถึง 30 ปี เท่ากับว่าเราจะมีเงินเก็บถึง 540,000 บาท แต่ถ้าหากเอามาลงทุนซื้อกองทุน คำนวณผลตอบแทนทบต้นระยะยาวเฉลี่ย 8% ต่อปี ผ่านไป 30 ปี จะเป็นมูลค่าถึง 2,039,097 บาท!! แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการฝึกวินัยการออมที่ดีของเราด้วย
มาลองดูตารางเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนขึ้น หากเราเก็บสะสมเงินจำนวนนี้ไปเรื่อยๆ จนถึง 30 ปี จะเกิดอะไรขึ้น
ปี | เงินออมจากค่ากาแฟตามจำนวนปี | ลงทุนคิดที่ผลตอบแทนทบต้น 8% ต่อปี |
1 | 18,000 บาท | 18,000 บาท |
5 | 90,000 บาท | 105,598 บาท |
10 | 180,000 บาท | 260,758 บาท |
20 | 360,000 บาท | 823,715 บาท |
30 | 540,000 บาท | 2,039,097 บาท |
หากเราลองทำตาม Latte Factor เปลี่ยนจำนวนเงินเก็บออมในแต่ละปี ในระยะเวลา 1-5 ปี มาเป็นสิ่งของ เราจะสามารถซื้ออะไรได้บ้าง
กาแฟสตาร์บัค 140 บาท ต่อวัน -- > ใน 1 ปี --> iPhone 11 Pro Max 256GB
กาแฟ 50 บาท ต่อวัน -- > ใน 3 ปี --> เที่ยวต่างประเทศ บินไปเที่ยวนิวยอร์คในราคาโปรอาแป๊ะ
ทานอาหารหรูๆ 500 บาท ต่อวัน -- > ใน 5 ปี --> ซื้อรถยนต์ได้ 1 คัน
Source : https://hatoriz.com/ideas/the-latte-effect/ (ปี 2019)
หากคิดอีกมุมหนึ่ง จากตารางถ้าหากเราเลือกที่จะกินกาแฟแก้วละ 50 บาท แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นประจำทุกวัน 1 ปี = ค่ากาแฟ 50 บาท x 365 วัน = 18,250 บาท ถ้าดื่มไปเรื่อยจนถึง 30 ปี = 547,500 บาท
แต่ถ้าหากเลือกชำระผ่านบัตรเครดิต กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ วีซ่า จากจำนวนเงินที่จะเสียไปเปล่าๆ 547,500 บาท
คุณก็จะได้รับคะแนนสะสม 547,500 บาท/25 = 21,900 คะแนน
และยังสามารถนำจำนวนคะแนนสะสมที่มี 1,000 คะแนน แลกได้ 100 บาท
จากจำนวน 21,900 คะแนน คุณก็จะได้รับเงินคืนโดยประมาณ 2,190 บาท
หากเรายอมลดค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างในชีวิตประจำวันออกไป และเริ่มศึกษาแบ่งเงินส่วนนี้มาเก็บออม และลงทุน เมื่อเวลาผ่านไปเงินจำนวนนี้อาจกลับกลายเป็นเงินจำนวนก้อนใหญ่ที่สามารถนำมาใช้ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ในวันข้างหน้า
แนวคิดการออมเงิน ประหยัดจากสิ่งเล็กๆ เพื่อมีเงินเก็บออมมหาศาลในวันข้างหน้า”
บัตรเครดิต : ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี
สินเชื่อส่วนบุคคล : อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 3% - 25% ต่อปี
First Choice
เขียน
21 มิ.ย. 2024
243802
6 พ.ย. 2023
66914
31 พ.ค. 2023
53828
21 มิ.ย. 2024
243802
3 ก.ค. 2024
161970
4 ม.ค. 2025
140097